Monday 18 November 2019

ชีวิตผู้เสพยาต่อ (3)

น้องนั่งเรือ คิดอะไรอยู่?
วันเที่ยวทะเลกับแม่และเพื่อนฝูง
แม่เล่าประวัติครอบครัวเค้าแบบสั้นๆ คือใครเป็นญาติใคร ใครไปแต่งงานและไปมีลูกกับใคร ย้ายไปปักหลักที่ไหน ไปทำงานอะไร
ท่ามกลางนั้นผมเห็นรูปๆ ของน้องธีร์ในหลายวัยที่แม่ถ่ายไว้ทั้งสมัยน้องยังเดินเตาะแตะโตเป็นวัยเอ๊าะๆ รวมถึงรูปอีกชุดหนึ่งที่แม่ถ่ายไปเมื่อประมาณ ปีที่แล้ว
เมื่อเค้าและเพื่อนชาวสลัมพาลูกๆออกไปเที่ยวทะเลกันเป็นกลุ่มใหญ่
วันนั้นน้องธีร์ดูแฮปปี้ดี ยืนใกล้ชิดกับแม่ถ่ายไปยิ้มแย้มไปดูไม่เครียด
ในทริปนี้จะมีการจัดรูปหมู่กันด้วย คนในกลุ่มเที่ยวทะเลกระโดดขึ้นในรูปดาวแบบที่วาดอยู่บนหาดทราย
ในอีกรูปหนึ่งผมเห็นเค้าเล่นน้ำกับน้อง บี โดยธีร์รับหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดี ช่วยน้องเล่นโฟมว่ายน้ำ
สมัยนั้นน้องยังดูเป็นวัยรุ่นหน้าอ่อนๆอยู่เลย
น่าจะเป็นช่วงนั้นที่น้องธิร์ยังไม่ไปยุ่งกับยา
จากนั้นไม่เห็นมีรูปของน้องไปเที่ยวกับครอบครัวอีก
ผมถามแม่ว่า ‘ทริปนี้เป็นครั้งล่าสุดใช่มั้ยที่แม่กับธีร์ได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน
แม่ดูไม่สบายใจเท่าไหร่ที่ผมถามไป เรื่องนี้
'
ใช่  ไม่ได้ไปอีก' เค้าดูเศร้าๆ
ผมสงสารแม่ที่ต้องไปเอ่ยถึงเรื่องละเอียดอ่อนที่เกิดเมื่อธีร์โตขึ้น
ตามประสาวัยรุ่น พอเริ่มโตแล้วเค้าก็เริ่มตีตัวออกห่างๆ จากครอบครัวด้วย
ผมเลยรีบช่วยปลอบใจแม่หน่อย
วัยรุ่นทั่วไปคงไม่อยากออกไปข้างนอกกับพ่อแม่หรอก ถึงจะชวนไปเค้าคงไม่เอา เป็นเรื่องธรรมดานะแม่ ผมบอก
ธีร์กับน้องเค้าเล่นน้ำทะเลกัน
เค้าเห็นด้วย
แต่ดั่งที่แม่ยอมรับเอง ช่องว่างที่เปิดโหว่ระหว่างแม่กับลูกน่าจะเกี่ยวกับนิสัยแม่ด้วย
แม่ดูไม่ค่อยสนใจธีร์เป็นเวลานานแล้ว
แม่ติดเพื่อนฝูง เที่ยวข้างนอกบ่อย ทิ้งลูกๆเล่นโดยลำพังในซอย
ถ้าอยู่บ้านก็เล่นเฟซหนัก จะเหลือเวลาให้ลูกที่ไหน
พอธีร์เห็นว่าแม่ไม่เอาใจเค้า  
เค้าคงเล่นยาหนักขึ้นไปเรื่อย ไม่แคร์แล้วว่าชีวิตจะเป็นยังไง
-
น้องจบเรียนไม่มีวุฒิ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
ตั้งแต่นั้นเค้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรกับชีวิต
เค้าเรียน กศน แต่ไม่จบ
แม่เล่าให้ฟังว่า เค้าเคยรับงานเป็นเด็กช่วยร้านอาหารใกล้บ้าน
แต่ทำไม่นานก็เลิกแล้วเพราะงานหนักแต่เงินเดือนน้อย
เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่น้องได้งานทำนอกบ้าน
นอกนั้นเค้าไม่มีประสบการณ์เลย
หลังจากนั้น เค้ากลับไปใช้ชีวิตในแต่ละวัน ไม่มีเป้าหมาย
ผมรู้จักหนุ่มๆข้างในที่รู้จักครอบครัวนี้
เมื่อให้ข้อสรุปชีวิตน้อง เค้าจะพูดเหมือนชาวบ้านในซอยทั่วไปนั้นแหละ
ว่าในสมัยเด็ก น้องนั้นแม่ให้เงินใช้เยอะจนน้องติดเล่นเกมส์
พอน้องโตมาอีกสเต็ปหนึ่ง น้องก็เริ่มสนใจยา
แม่ก็ยังให้เงินเยอะ (ครอบครัวเค้ามีฐานะดีกว่าคนธรรมดาในซอย) จนน้องเริ่มติดยาแล้วก็เล่นยาประจำ
น้องมีญาติห่างๆที่พักอาศัยอยู่ในชุมชน ที่เค้าอาจจะเจอบ้างบางครั้ง
แต่บ้านปู่ย่าตายายก็อยู่ข้างนอกกันหมด
น้องดูเป็นเด็กติดซอย ไม่ค่อยไปข้างนอกกับใคร แม้แต่ครอบครัวตัวเองก็ไม่ค่อยพาเค้าไปเที่ยวข้างนอกหรือไปทำธุระอะไร
ส่วนพวกชาวบ้านในซอย พอเค้าเห็นน้องเล่นยาเป็นหลายปีเข้า เค้าคงคุ้นเคยจนชินเสียแล้ว
จะมีน้อยคนมากที่จะบอกว่า ‘เฮ้ย เมื่อกี้เราเห็นมีวัยรุ่นของเรา คนนึงนั่งเล่นกับพวกพี่ๆ ขี้ยา’
คนข้างในจะไม่เสือกเรื่องชาวบ้านขนาดนั้น แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีใครแอบเป็นห่วงน้อง จะมีพวกผู้ใหญ่ที่รู้จักน้องตั้งแต่เค้ายังเป็นเด็กที่สังเกตุเห็นอยู่แล้วว่าชีวิตเค้ากำลังล่อแหลม
แต่เมื่อเห็นว่า แม่น้องไม่สนใจลูกตัวเอง เค้าจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหัวแล้วก็บ่นหมุบหมิบกับตัวเอง
น้องชอบเล่นยาเคกับกัญชา
ความสัมพันธ์ระหว่างน้องกับยา ดันไปฝังลึกเข้าไส้เข้าพุง
เหมือนรากต้นไม้ที่ฝังลงติดในดินแน่น ถอนออกยากแล้ว
น้องถือว่ายาเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ที่ชอบให้เค้าดูเป็นคนไม่ธรรมดา
เค้าดูเหมือนหลงเสน่ห์กับยานั้นเอง
เด็กวัยรุ่นอย่างน้องที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อใครๆ และไม่มีตัวอย่างที่ดีในครอบครัวให้เค้าค่อยเรียนแบบ
อาจจะคิดผิดอย่างนี้ก็ได้
ในโลกกลับหัวกลับหางแบบนี้ พวกใจนักเลงขี้ยาเป็นคนน่านับถือในสายตาน้อง
น้องชอบคบกับพวกนี้จนเค้าอาจจะลืมเพื่อนจริงๆเสียแล้ว
น้องเองไม่ต้องกลัวว่างานจะเสีย แฟนจะไม่ชอบ หรือคนจะคิดไม่ดีกับเค้าที่น้องเล่นยากับพวกนี้
เพราะเค้าไม่ได้ทำอะไรกับชีวิต และไม่มีใครที่ต้องเป็นห่วง
แต่เมื่อสังคมแคบลงขนาดนี้เค้ามีเสี่ยงตกเป็นวัยรุ่นที่โลกลืมสนิทกันไปก็ได้

ใช้จิตวิทยาเพื่อหาทางออก

ซอยนี้แยกออกจากซอยอมร เป็นทางเข้าบ้านน้องมุมหนึ่ง
เมื่อผมเห็นน้องมีปัญหากับแม่ ผมตัดสินว่าจะพยายามเอ็นดูเค้าเพื่อจะเติมความอบอุ่นที่เค้าน่าจะขาดไป
ผมเลยบอกเค้าว่าอยากคบกันในเชิงเป็นพ่อกับลูกไหม
เพื่อจะจูงใจให้เค้าจะปรับความคิดเห็นให้ดีกว่านี้
มีวันหนึ่งผมเห็นเค้ายืนคนเดียวในซอย ผมเดินจากข้างหลังแล้วก็เอาแขนวางรอบตัวเค้า กอดให้ร่างน้องมาชิดกับตัวเรา โดยผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ตอนแรกเค้าตกใจ แต่พอเริ่มอินกับความรูสึกนี้ น้องพาดแขนตัวเองมาทับมือผม แล้วก็โยนร่างตัวเองเบาๆ เหมือนเด็กเล็กในเปลที่ที่ถูกแม่แกว่งไกวให้นอน
เราก็ยืนกันอยู่กับที่แบบนี้เป็นสักครู่ก่อนผมปล่อยตัวเค้าไป และเราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย
แต่ถ้าผมคิดว่าน้องจะประทับใจกับการเอ็นดูนุ่มนวลแบบนี้เป็นระยะยาวผมอาจจะผิดหวัง
เพราะจริงๆแล้วน้องไม่ค่อยชอบรับอะไรในเชิง น้ำเน่า แบบนี้ (แม่เค้าบอก)
คือตามนิสัยน้องไม่ใช่เด็กอ่อนโยนนุ่มนวลหรอก
พอเราเริ่มรู้จักกันดี น้องจะเริ่มดื้อมากขึ้น ไม่ยอมฟังอย่างเมื่อก่อน
ถ้าเราอยากให้เค้าประทับใจแบบลึกๆ เราคงต้องพาเค้าไปเจอประสบการณ์ผาดโผนน่าตื่นเต้นข้างนอกมั้ง เหมือนพ่อเค้าจริงๆ
เช่น เหตุการณ์ตอนกลางปีเมื่อทั้งพ่อกับน้องโดนตำรวจจับต้องคดีเกี่ยวกับยาเสพติด
พ่อโดนข้อหาขายยาบ้า ลูกโดนข้อหาเล่นยาเฉยๆ
แม่เคยเล่าให้ฟัง ถ้าผมจำถูก ว่าพ่อกำลังไปส่งยาให้ลูกค้าที่ต่างจังหวัดแต่โดนตำรวจจับเสียก่อน ธีร์ติดรถพ่อไปด้วยพอดีแล้วก็โดนด้วย
ทุกวันนี้เมื่อน้องเล่าเหตุการณ์โดนจับให้เราฟัง เค้าดูตื่นเต้นมากที่สุดที่ผมเคยเห็น
เหมือนพ่อกับลูกเป็นนักผจญภัยที่ต้องสู้กับตำรวจเพื่อจะเอาตัวรอดไปประมาณนี้
น้องชอบพวกนักเลงอยู่แล้ว แล้วถ้าตัวนักเลงนั้นกลายเป็นพ่อซะเองด้วย ก็ยิ่งชอบใจ
เค้ามุงมองพวกนี้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเพราะพ่อเป็นคนอันธพาลเองหรือเปล่าไม่รู้
แต่พอได้ฟังเค้าบรรยายเรื่อง ผมรู้แล้วว่า แสดงความรักหรือเอ็นดูให้น้องเหมือนเค้าเป็นเด็กอ่อนโยนจะผิดเป้า
ถ้าเราอยากให้เค้าเลิกเล่นยา หรือกลับคืนดีกับแม่เราต้องใช้วิธีอื่นๆ
น้องดูเป็นลูกพ่อมากกว่าลูกแม่ และที่สำคัญชอบคิดว่า การเสพยาจะช่วยให้เค้าดูเท่ดี
ไม่ไช่เรื่องน่าอับอายสักนิด
แฟนไมเคิลชอบเล่นยาเหมือนผม’ น้องเคยถามผมดู
คำถามนี้เน้นว่าน้องเลือกการเล่นยาเป็นฟีเจอร์ของไลฟ์สไตล์เค้า
และมองว่ายาเสพติดเป็นตัวเด่นของบุคลิกนิสัยเค้าไปด้วย
ไม่นะธีร์ จะมีแต่ธีร์กับพวกนักเลงเองที่ยังคิดว่ายาดูเท่ คนอื่นเลิกเล่นเรียบร้อยแล้ว

now, see here

No comments:

Post a Comment

เขียนเป็นไทยหรืออ้งกฤษก็ได้คับ Thai or English is fine...

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม